Introduction

      สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อว่า "ราฟ" นะครับ ผมจะมารับหน้าที่ในการ นำพาทุกคนท่องไปในเว็บนี้นะครับ ผมจะคอยช่วงเสริมเนื้อหาในส่วนต่างๆ ขอให้เพลิดเพลินไปกับเนื้อหานะครับ

My suggest

     เนื้อหาในเว็บ ผมจะเล่าไปเป็นเสต็ป แล้วมีราฟ คอยเสริมเกร็ดความรู้ เล่าเรื่องบางอย่าง หรือนำพาทุกคนไปสู่ส่วนต่างๆ
     หากมีความผิดพลาดของเนื้อหาประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

Thank you :)

What is the
"Doctor"

sda

หมอ ?


     หมอก็คือผู้มีหน้าที่ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจวินิจฉัยของผู้ป่วย เพื่อสั่งการรักษา และให้การรักษาโรคของผู้ป่วย หรือหากเขียนสรุปอย่างง่าย คือ

ซักประวัติ + ตรวจร่างกาย
+ ตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย
|
|
V
สั่งการรักษา + รักษาโรค

คุณลักษณะของหมอ


     1. ความขยันและพยายาม - สิ่งเป็นสิ่งที่ทุกอาชีพต้องมีอยู่แล้ว เพียงแค่หมั่นเพิ่มพูนทักษะและความรู้ของตนเอง เพื่อนำทักษะนั้นไปประยุกต์ใช้ในอาชีพของตน

     2. ไม่รังเกียจผู้ป่วย - ในคุณลักษะนี้นั้น ถ้าเราเข้าไปเรียนหมอเบื้องต้นเป็นเวลา 6 ปี ก็ทำให้เราเข้าใจผู้ป่วยและพร้อมที่ จะรักษาผู้ป่วยแน่นอนครับ แต่ถ้ามีความรู้สึกรังเกียจผู้ป่วยมากๆ จริง หรือฝังใจก็อาจจะไม่เหมาะกับอาชีพหมอก็ได้นะครัย

     3. ชื่นชอบความท้าทาย - คุณลักษณะนี้นั้น เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้เราได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งการรักษาโรคต่าง ไม่มีทางทีเราจะได้รักษาคนไข้ที่ป่วย เฉพาะที่โรคเรารู้จัก หรืออาการเจ็บป่วยเฉพาะที่เรามีความรู้ ทำให้เราต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบากบ่อยๆ แน่นอนครับ

     4. มีความอดทน และความซื่อสัตย์ - เรียนหมอต้องอดทนแน่ๆ กับการเรียน ความกดดันจากคนรอบข้าง ความรับผิดชอบที่ตนแบกรับ และอื่นๆ อีกมากมาย


     คุณลักษณะพวกนี้นั้น ราฟเพียงแค่ ลิสต์จากหลายๆ แหล่งข้อมูล แล้วรวบหลายๆ อันเข้าด้วยกัน เพียงแต่ในความคิดของราฟนั้น คุณสมบัตินั้น เรามีตั้งแต่แรกก็ดี แต่ถ้ายังไม่มีละก็ เราก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้นั้น ความจริงทุกๆ อาชีพก็มีอยู๋แล้ว เพียงแต่อาจใช้ไม่เท่ากัน แล้วแต่คุณลักษณะงานไป

5225 ข้อดี


1. ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เราสามารถช่วยเหลือคนแน่นอน เพราะหน้าที่ของหมอเรานั้นคือการรักษาคนไข้ นี่คือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของคนเป็นหมอแน่นอนที่สุด เพราะหลังจากเรียนมาอย่างหนักแล้วได้นำความรู้นั้นมาใช้จริงอย่างเต็มที่ และอีกอย่างหนึ่งที่แน่นอน คือการรักษาคนในครอบครัว เราคงรู้กันอยู่แล้วถ้าหาก เรามีญาติเป็นหมอหรือพยาบาลในโรงพยาบาลที่เราทำการรักษา นั้นทำให้เราสามรถเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับปกติ

2. เป็นอาชีพที่มั่นคง ประเทศไทยเราก็ยังคงเป็นประเทศที่ขาดแคลนหมอ เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นโอกาสตกงานของอาชีพหมอแทบเป็นไปไม่ได้เลยครับ ยิ่งถ้าพูดถึงในช่วงของโรคระบาดช่วงนี้ หมอเป็นที่ต้องการอย่างมากแน่นอน

3. รายได้ค่อนข้างดี รายได้ของหมอ ถือว่าเริ่มต้นได้สูง เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ แต่ถ้านำไปเปรียบกับเวลาทำงาน ก็จะถือว่า รายได้สมควรกับเวลาทำงานมากๆ T.T ทำงานหนักมากกก


ข้อเสีย5225


1. เรียนหนักมากกก เราคงไม่พูดกันมากในส่วนนี้ เดี๋ยวเราจะได้รู้กันในส่วนที่ 2 ที่ผมจะพูดเกี่ยวกับ 6 ปีเบื้องต้น ในการเรียนหมอ

2. ใช้เวลาเรียนนาน เรียนหมอใช้เวลาในการเรียนนานกว่าคณะอื่นๆ คือ จะต้องเรียนถึง 6 ปีด้วยกัน กว่าจะจบการศึกษาก็อายุประมาณ 24 ปี แล้วจะต้องไปใช้ทุนอีกประมาณ 3 ปี และหากอยากเรียนหมอเฉพาะทางก็ต้องเรียนต่ออีกใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี แล้วแต่สาขาที่เลือกเรียน และยังมีเรียนต่อในอนุสาขาของเฉพาะทางอีก 2 ปีถ้าอยากนะ 55

3. ปัญหาฟ้องร้อง (ที่อาจจะเจอ) ผมจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แต่ผมจะทิ้งลิงค์ข้อมูลไว้ให้นะครับ

      Link 1 - อันนี้เป็นอ่านอย่างคร่าวๆนะครับ

      Link 2 - ส่วนอันนี้เนื้อหาครอบลุมพอสมควร

      Link 3 - อันนี้เยอะเหมือนกัน 55

ลองคลิกปุ่มดูสิ

     เงินเดือนของหมอจบใหม่ ปีแรก หรือ Intern ของ ร.พ.รัฐ (ของแต่ละที่ไม่เท่ากัน เช่น ในเมือง กับท้องถิ่น) ประมาณ 55000 บาท

รายละเอียด

     1. เงินเดือน เริ่มต้น 18000 บาท
แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากลาไปเรียนต่อเฉพาะทางจะไม่เพิ่มช่วงที่เรียน หลังจบเฉพาะทาง จะมีเงินเดือนอยู่ช่วง 25000-30000++ บาท
     2. เงินประจำตำแหน่ง พ.ต.ส. 5000 บาท
แพทย์เฉพาะทางจะได้ 10000 บาท แต่ถ้าเป็นในสาขาที่ขาดแคลน จะอยู่ที่ 15000 บาท
     3. เงินค่าไม่ประกอบเวช 10000 บาท
การไม่ทำเวช คือ การไม่ไปรับงานนอกราชการ เช่น การทำงานในโรงพยาบาลเอกชน หรือการเปิดคลินิก
     4. เงิน Pay for Performance (P4P) ประมาณ 7000 บาท
ตรวจคนไข้ผู้ป่วยนอก การตรวจผู้ป่วยใน ทำหัตถการทางการแพทย์ (การรักษาผู้ป่วยโดยมีการใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆเข้าร่างกายผู้ป่วย เช่น ผ่าตัด ใส่เฝือก เจาะข้อ เป็นต้น) จำนวนเงินก็ขึ้นกับปริมาณที่ทำ
     5. เวรวอร์ด ประมาณ 12000 บาท
การทำงานบนวอร์ด ปกติจะทำ ประมาณ 8 เวร / เดือน
วันธรรมดา 16:00 – 8:00 น. ทำประมาณ 6 เวร / เดือน จะอยู่ที่ 1400 บาท / เวร
วันเสาร์-อาทิตย์ 24 ชั่วโมง ทำประมาณ 2 เวร / เดือน จะอยู่ที่ 2000 บาท /เวร
     6. เวร ER ประมาณ 3300 บาท
เวรห้องฉุกเฉิน 8 ชั่วโมง จำนวน 3 เวร / เดือน จะอยู่ที่ 1100 บาท / เวร

   # จากข้อมูลข้างต้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในแต่ละช่วงเวลา เพราะฉะนั้น ข้อมูลชุดนี้ ใช้เพื่อการคาดการณ์คร่าวๆ เท่านั้น


     โอเครครับทุกคน เราก็จบกับส่วนแรกไปแล้วนะครับ เราก็ได้รู้แล้ว ว่าหมอนั้น คืออะไรกันแน่ ลักษณะของหมอ ข้อดี-ข้อเสีย มาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะคิดว่า ตัวเองเหมาะหรือไม่เหมาะกับอาชีพหมอกันแล้ว แต่เนื้อหาพวกนั้นยังไม่พอครับ ถ้าเราจะรู้ว่าเราจะอยู่กับมันได้ไหม เราก็ต้องรู้ว่า เข้าไปเรียนอะไรบ้าง มีเนื้อหาว่าอย่างไร เราจะได้ตัดสินใจได้ขาดไปเลย งั้นเราไปต่อกันเลยนะครับ Let’s go!!!

6 ปีนักศึกษาแพทย์
เจออะไรบ้าง ?


     ผมต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า เนื้อหาการเรียนนั้น ทุกๆมหาลัยน่าจะคล้ายๆกัน แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการ การสอน เพราะฉะนั้น การจัดการเนื้อหาที่เรียนในแต่ละมหาลัยจะแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น บางมหาลัยในปี 2 อาจจะเรียงเรื่องความปกติของร่างกายไปทีเดียว แล้วปี 3 เรียนเรื่องความผิดปกติของร่างกาย แต่บางมหาลัยอาจจะเรียนเรื่องระบบหนึ่งทีเดียวทั้ง ความปกติ และผิดปกติไปเลย เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ฟิคว่า เรื่องนี้เรียนปีนี้ เรื่องนั้นเรียนปีนั้น ขอเพียงแค่รู้เนื้อหาที่จะต้องเรียนคร่าวๆ นะครับ ถ้าข้อมูลมีความผิดพลาดประการใด ขอประทานโทษด้วยนะครับ

"คลิกรูปภาพดูสิ"

ปีที่ 1 เรียนปรับพื้นฐานเนื้อหา


     สำหรับในปี 1 จะเป็นปีเดียวที่จะได้เรียนเหมือนเด็กคณะอื่น ๆ คือ เรียนตามตารางเรียนประมาณ 8.00 น.-16.00 น.

เทอม 1

1.ศิลปะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (Art of Using Thai Language for Communication)

2.การศึกษาทั่วไปเพื่อพัฒนามนุษย์ (General Education for Human Development)

3.สังคมศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย์ (Social Studies foe Human Development)

4.ศิลปะวิทยาการเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ (Arts and Sciences for Human Development)

5.ภาษาอังกฤษ (English)

6.แคลคูลัสและ ระบบสมการเชิงอนุพันธ์สามัญ (Calculus and System of Ordinary Differential Equations)

7.ฟิสิกส์สำหรับการแพทย์ (Physics for Medical Science)

8.เคมีทั่วไป (General Chemistry)

9.ชีววิทยาสาระสำคัญ (Essential Biology)

10.ปฏิบัติการฟิสิกส์ทั่วไป (General Physics Laboratory)

11.ปฏิบัติการเคมี (Chemistry Laboratory)

12.ปฏิบัติการชีววิทยา (Biology Laboratory)

เทอม 2

1.วิชาการศึกษาแพทย์ (Medical Education)
     เป็นการเรียนทั่วไป แนะนำวิธีเรียนที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล จิตวิทยาการเรียนรู้ วิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพในโรงเรียนแพทย์ และวิธีวัดผลการเรียน

2.วิชาชีพแพทย์ (Medical Profession)
     นิยามและปัจจัยของสุขภาพ ประวัติและวิวัฒนาการทางการแพทย์ จรรยาบรรณในวิชาชีพแพทย์ บทบาทของแพทย์ต่อการส่งเสริมสุขภาพ แลพการป้องกัน แก้ไขปัญหาสุขภาพ

3.ภาษาอังกฤษ (English)

4.สถิติสำหรับวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Statistic for Medical Science)

5.เคมีอินทรีย์ (Organic Chemistry)


     ราฟว่าเนื้อหาในปีหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิชาที่เราเคยเรียนต่อ มอปลายมาแล้ว แต่จะเป็นเนื้อหาที่ลึกขึ้น เพราะฉะนั้น จะเป็นปีที่ชิวที่สุด ในการเรียนหมอแน่นอน เนื้อหาของปีหนึ่งก็มีประมาณนี้ งั้นราฟมาเล่าเรื่องของราฟสักหน่อยละกัน ว่าราฟนั้น ก็เป็นเหมือนหลายๆคนที่ครอบครัวอยากให้เรียนหมอ แต่การบอกเล่าของครอบครัวราฟนั้นจะนำเสนอแต่ ข้อดีของมัน ราฟรู้ว่า ในทุกๆอย่างนั้นมีข้อดีและข้อเสีย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ราฟทำเว็ปนี้ขึ้นมานั่นเองครับ ซึ่งราฟก็หวังว่า เว็ปนี้จะช่วยให้ทุกคน สามารถตัดสินใจในการเลือกว่าจะเป็นหมอหรือไม่ได้นะครับ ข้อมูลราฟพอไว้แค่นี้จะมาเล่าใหม่เรื่อย ๆ ไปต่อกันเลย

ปีที่ 2 ก้าวแรกสู่การเรียนแพทย์


     เนื้อหาในปีนี้ จะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและระบบการทำงานของร่างกายในสภาวะร่างกายปกติอย่างละเอียด เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ฯลฯ (ซึ่งเรียกได้ว่า จะต้องรู้ลึกไปถึงกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีหลอดเลือดชนิดไหนบ้างที่ไปหล่อเลี้ยงให้สามารถทำงานได้ตามปกติ) นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ อีก เช่น วิชาทางกายวิภาค สรีรวิทยา พันธุศาสตร์ เป็นต้น

สาขาวิชาแบ่งได้เป็น 3 สาขา ดังนี้

1.Anatomy (ana – การแยก, แยกออก tomia - ตัด) (กายวิภาคศาสตร์)
     ศึกษาโครงสร้าง ตำแหน่ง และลักษณะของส่วนต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตโดยละเอียด ซึ่งศึกษาได้โดยการชำแหละ หรือตัดเส้นชิ้นส่วนที่ต้องการศึกษาจากการร่างกาย
1.1. Gross Anatomy (Gross - ทั้งหมด) (มหกายวิภาคศาสตร์)
     เป็นการพบกับอาจารย์ใหญ่นั่นเอง เป็นวิชาที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะ และตำแหน่งของโครงสร้าง หรืออวัยวะต่างๆของร่างกาย และดูความสัมพันธ์ทั้งหมด
1.2. Microscopic Anatomy (Micro - เล็ก) /Histology (Histo – เนื้อเยื้อ , Logos - การศึกษา) (จุลกายวิภาคศาสตร์)
     ส่วนประกอบถายในโครงสร้างต่างๆ เช่น เซลล์ เนื้อเยื่อ โดยการศึกษาผ่านชิ้นส่วนต่างๆ ผ่านกล้องจุลทรรศน์
1.3. Embryology (Embryon – ตัวอ่อน) (คัพภวิทยา/วิทยาเอ็มบริโอ)
     การกำนิดของโครงสร้างต่างๆ มักจะศึกษา Development จากสัตว์ในระยะต่างๆ

2. Physiology (Physis - กำเนิด หรือธรรมชาติ) (สรีรวิทยา)
     กลไกภายในร่างกาย ทั้งในระดับระบบ อวัยวะ เซลล์ โดยที่ไม่ใช่การศึกษากลไกเคมี แต่เป็นการศึกษาว่า หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้ว กลไกภายในของร่างกายจะตอบสนองอย่างไรตามมา

3. Biochemistry (ชีวเคมี)      กลไกภายในร่างกายในเชิงเคมี ปฏิกิริยาต่างๆ ภายในร่างกาย ตั้งแต่การสร้างสารอินทรีย์ทั่วไป จนไปถึงปฏิกิริยาสร้างหรือ สลายสารต่างๆ ที่สำคัญในร่างกาย

รายวิชาของปี 2 จะมีวิชาดังนี้

1. รากฐานของร่างกายมนุษย์: จากโมเลกุลสู่ร่างกาย (Foundation of the Human Body: From Molecules to Body)
     ศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐานของโปรตีน และเซลล์ต่างๆ path way ในการสังเคราะห์สาร Nucleic Acid และกระบวนการของ RNA และ DNA เรียนรู้การส่อง Tissue ที่ไม่ได้เรียนละเอียดตอนมอปลาย และเรียนเรื่อง การศึกษากำเนิดของอวัยวะ หรือโครงสร้างต่างๆ ในระดับ Embryo

2. รากฐานของร่างกายมนุษย์: การควบคุมทางประสาทของฮอร์โมน (Foundation of the Human Body: Neural and Hormonal Regulation)

3. รากฐานของร่างกายมนุษย์: พลังงานและเมตาบอลิซึม (Foundation of the Human Body: Energy and Metabolism )

4. ชีวิตมนุษย์ (The Human Life)
     เกี่ยวกับนิยามของสุขภาพทั่วไปของมนุษย์ โภชนาการ การนอน การออกกำลังกาย และความรู้เบื้องต้นทางจิตเวชในวัยต่างๆ และการดูแลเบื้องต้น

5. ระบบผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูก 1 (Integumentary and Musculoskeletal System I )

6. ระบบไหลเวียน 1 (Circulatory System I )

7. ระบบเลือด และลิมฟอยด์ (Blood and Lymphoid System I )

8. ระบบหายใจ 1 (Respiratory System I )

9. ระบบทางเดินอาหาร ตับ และทางเดินน้ำดี 1 (Gastrointestinal and Hepatobiliary System I)

10. ระบบปัสสาวะ 1 (Urinary System I )

11.ระบบสืบพันธุ์ 1 ( Reproductive System I )

12. ระบบประสาท 1 ( Nervous System I )

13. วิชาประยุกต์ความรู้ปรีคลินิก ( Applied Preclinical Knowledge )
     เป็นการนำความรู้ตลอดทั้ง ปี 2 มารวมกันในวิชาเดียว โดยจะเป็นการจำลองสถานการณ์เหมือนกับเรากำลังอ่านประวัติของคนไข้ ผลการตรวจเบื้องต้น และผลจากห้องปฏิบัติการจริงๆ โดยคนไข้หนึ่งคนอาจมีมากกว่าหนึ่งโรค แล้วยังได้ฝึกเขียน Problem list เสมือนกำลังเขียนลงในบันทึกของผู้ป่วยจริงๆ

14. การแพทย์ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ( Humanistic Medicine )
     การปลูกฝังคุณลักษณะของแพทย์ที่ดีให้กับนักศึกษา เพื่อในวันหนึ่งหากนักศึกษามีความรู้ทาง clinic มากพอที่จะรักษาคนไข้ เราอาจเผลอมองคนไข้แล้วลืมคำนึงถึงเรื่องทั่วไป หรือจิตใจของคนไข้ แล้ววิเคราะห์เพียงอาการหรือ โรคที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่ไม่ได้วิเคราะห์ลงไปถึงสภาพจิตใจของคนไข้ เราจะได้โอกาสพบคนไข้ที่อยู่ที่วอร์ดจริงๆ พบปะพูดคุยกับคนไข้ ได้ทำความรู้จักคนไข้ ในฐานะคนคนหนึ่ง ความคิด ความรู้สึกต่อเรื่องเรื่องที่เกิดขึ้นของคนไข้

15. วิทยาการระบาด และชีวสถิติในการปฏิบัติงานสาธารณสุข ( Epidemiology and Biostatistics in Public Health Practice )
     ได้เรียนรู้แนวคิดทางระบาดวิทยา ในการอธิบายรูปแบบการเจ็บป่วยในประชากร หลังการทดสอบทางระบาดวิทยา รูปแบบการวิจัยสำหรับสอบสวนสาเหตุของโรค

16. ปฏิบัติการมหกายวิภาคศาสตร์ 1 ( Gross Anatomy Laboratory I )
     เราจะได้ผ่าอาจารย์ใหญ่ เพื่อศึกษาทุกส่วนที่เป็นพื้นฐานของโครงสร้างร่างกาย

17. ปฏิบัติการมหกายวิภาคศาสตร์ 2 ( Gross Anatomy Laboratory II )
     โฟกัสที่อวัยวะตามระบบต่างๆ

18. วิชาทักษะชีวิต และสังคม ( Life and Social Skills )
     เรียนเกี่ยวกับวิธีการค้นคว้าทางการแพทย์ , การค้นคว้าวิจัยต่างๆ เพื่อตามการแพทย์ปัจจุบันให้ทัน , การใช้ชีวิตทั่วไป และวิธีการวางแผนต่างๆ

19. วิชาเชิงวิพากษ์สังคมไทยร่วมสมัย ( Critical Review of Contemporary Thai Society )


     เท่านี้ก็จบเนื้อหา ปีที่ 2 ไปแล้ว อันนี้แค่รู้ว่าเรียนอะไรบ้างอย่างคร่าวๆ ราฟต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถเขียน อธิบายทุกวิชาได้อย่างละเอียดไม่งั้น บางทีมันคงจะเยอะมากแน่นอน โฮะ ๆ ๆ งั้น ราฟจะเล่าเรื่องตัวเองต่อละนะ 55 เนื้อหาที่เรียนตอนนี้คงดูเหมือนราฟ ลิสต์ให้ดูแล้วบางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ หรือป่าว พูดเล่นน่า แค่นี้ก็เยอะจนจะตายแล้ว สำหรับราฟนะ เพราะฉะนั้น ขอให้รู้ไว้เลยว่า ถ้าการจะเป็นหมอนั้นไม่ง่าย เป็นคำเตือนจาก ราฟที่แค่นั่งหาข้อมูล อ่านนู่นนี่ ดูวิดีโอในเน็ต ( แค่ทำแค่นี้ ไป 3 วันได้ไงฟะ ออ เล่นเกมเป็นส่วนใหญ่เลย หาข้อมูลนานไปหน่อย LOL ) แต่สำหรับราฟ มันเป็นเรื่องจริงที่การเป็นหมอนั้น ต้องเป็นเพราะอยากจริงๆ เพราะมันน่าจะเหนื่อยมากๆๆๆๆ เครงั้นไปต่อ ปี 3 กันเลย Gooo

ปี 3 เรียนร่ายมนุษย์แบบผิดปกติ


     ปีนี้ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเจ็บป่วยหรือทำให้ร่างกายผิดปกติ แล้วยังได้รู้จักกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ สาเหตุของการเกิดโรค และนอกจากนี้ยังเรียนเกี่ยวกับยาชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรค (ระดับพื้นฐาน) อีกด้วย

1. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ( Immunology )

2. พันธุกรรมและมะเร็ง ( Genetics and Neoplasia )

3. จุลชีววิทยา ( Microbiology and Parasitology )
     ศึกษาพวกแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต เราต้องทำความรู้จักเพื่อนตัวจิ๋วพวกนี้ เราต้องจำขนาดของเพื่อน ความสามารถในการดื้อยาฆ่าเชื้อ ต้องเลี้ยงเพื่อนตัวจิ๋วนี้ด้วยสารใด เพื่อนถูกเซลล์อะไรในร่างกายเป็นตัวทำลายหลัก ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อใดเพื่อฆ่าเพื่อน เอาจริงก็จำหมดแหละนะ อย่าคิดไรมาก 55

4. การบำบัดรักษาทางแพทย์ ( Therapeutic Medicine )
     เรื่องเกี่ยวกับยา ยาออกฤทธิ์ฟเป็นอย่างไร ปฏิกิริยาระหว่างยา วิธีการใช้ยา การเรียนวิชานี้ ช่วยแก้ความรู้ผิดๆ ที่ติดตัวบางคนมา เช่น ยาสลบในหนังที่เราเห็นนั้น ความจริงไม่ได้ออกผลทันที แต่ต้องการเวลาสักพักหนึ่งในการออกฤทธิ์ และวิธียาที่สามารถออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด คือ การฉีด

5. ระบบต่างๆ เหมือนตอนปีที่ 2 แต่เป็นผิดปกติแทน

6. อาการวิทยา ( Symptomatology )
     ว่าด้วยอาการสำคัญที่ผู้ป่วยมาหาหมอ การซักประวัติ และตรวจร่างกายเพิ่มเติม นำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง การซักประวัตินั้นสำคัญมาก ว่ากันว่า “การซักประวัติที่ดี นำไปสู่การวินิจฉัยโรคได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์”

7. เวชศาสตร์ป้องกัน ( Preventive Medicine )
     ศาสตร์ทางการแพทย์ที่ให้ความสำคัญแก่การป้องกัน และลดการแพร่กระจายของโรค ทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ

8. เวชศาสตร์อิงหลักฐาน ( Evidence-Based Medicine )
     คล้ายกับ ชีวสถิติ ที่ศึกษาการทดลองเก็บข้อมูล และวิธีแปลผล แต่มีการนำมาประยุกต์มากขึ้น ในการทดลองมาตีความหมายว่า ข้อมูลนั้นสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ มีนัยสำคัญทางสถิติ หรือนัยสำคัญทางคลินิก

9. เวชจริยศาสตร์และกฎหมาย ( Medical Ethics and Laws )
     จริยธรรมทางการแพทย์ การสอนดูแลผู้ป่วยและญาติในระยะสุดท้าย กฎหมายพื้นฐานที่แพทย์ควรรู้

10. วิชาสังคมและสุขภาพ ( Society and Health )


     พอมาศึกษาตรงนี้จะได้พบมุมมองที่หลากหลายของคนในสังคม ทั้งความเชื่อทางศาสนา วิธีคิดและ กรอบความคิดบางอย่าง ไปจนถึงทฤษฎีทางสังคมที่อธิบายแนวคิดเหล่านั้น เห้ เห้ เรามากันครึ่งหนึ่งของ 6 ปีแล้ว ยังไหวกันอยู่ไหม หรือว่าบางคนกดออกไปแล้วน้า 555 หลังเรียนจบปี 3 นั้นจะมีการสอบที่เรียกว่า National License I หรือ NL I การสอบเพื่อประเมินความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมขั้นตอนที่ 1 เพื่อประเมินนักศึกษาแพทย์ทั้ง ประเทศ ซึ่งบอกไว้ก่อนว่า เดี๋ยวก็มีสอบอีก 55 อย่าคิดมาก เป็นเนื้อหาที่เรียนมาตั้งแต่ต้น ถึงเนื้อหาปีที่ 3 อ่านกันหัวฟูไปเลย อืมเนื้อหาปี 3 น่าจะครบแล้วหล่ะ ลุยไปปี 4 กันเลย

ปี 4 ได้ขึ้นวอร์ดแล้วว


     ลักษณะการ เรียนระดับชั้นคลินิก จะแบ่ง เป็น 2 แบบ คือ การเรียนผ่านอาจารย์ เช่น เรียนกับผู้ป่วยข้างเตียง การเรียนผ่านเลคเชอร์ ทำงานกลุ่ม ฝึกนำเสอน เป็นต้น และการเรียนผ่านการปฏิบัติงานจริง เช่น การรับผู้ป่วยมาไว้ในการดูแลของตน

ภาควิชา / วอร์ด ( Ward )

     Introduction to Clinical Medicine ( ICM ) หรือ การเรียนก่อนขึ้นวอร์ด คือ Basic Clinical Skills , Clinical Problem Solving

     Major Ward คือ Obstetrics and Gynecology , Surgery I , Medicine I , Pediatrics I ( สู-ศัลย์-เมด-เด็ก )

     Minor Ward คือ Psychiatry , Radiology , Preventive and Social Medicine-Family Medicine , Community Medicine

วิชาที่เรียน ดังนี้

1. ทักษะพื้นฐานทางคลินิก และการแก้ปัญหาทางคลินิก ( Basic Clinical Skills and Clinical Problem Solving )
     เป็นการทบทวนเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว แต่จะสอนเนื้อหาส่วนที่ไปปฏิบัติจริง เพิ่มมากขึ้น เช่น ทักษะการซักประวัติ การตรวจร่างกาย การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยวินิจฉัย และวิธีการรักษา

2. สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ( Obstetrics and Gynecology I )
     เนื้อหาการสอนจะแล้วแต่มหาลัย แต่จากตัวอย่างที่ผมศึกษามานั้น ปี 4 จะเรียนนรีเวชวิทยา คือเรียนผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งครรภ์ และปี 5 เรียนสูติศาสตร์ คือเรียนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์

3. ศัลยศาสตร์ ( Surgery I )
     การเรียนแล้วแต่มหาลัย จัด แต่เนื้อหาจะประกอบด้วยศัลยศาสตร์หลอดเลือด , ศีรษะ คอ และทรวงอก , ทางเดินปัสสาวะ , ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก , ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี , ผ่าตัดและส่องกล้อง และอีกอย่างหนึ่งคือ วิชานี้ได้เข้าห้องผ่าตัด ( OR – Operating Room ) แน่นอน

4. Medicine I
     ส่วนใหญ่วอร์ดนี้เป็นการปฏิบัติงานเป็นหลัก คือ การรับเคสผู้ป่วยไว้ดูแล ฝึกเขียนใบสั่งยา ได้ฝึกทักษะทางหัตถการ เช่น เจาะเลือดตรวจน้ำตาลบริเวณปลายนิ้ว เจาะเก็บเลือดจากเส้นเลือดแดง การให้เลือด

5. กุมารเวชศาสตร์ ( Pediatrics I )
     คล้ายกับอายุรศาสตร์ ต่างกันแค่ช่วงอายุทำให้ต้อง โฟกัสประเด็นที่ต่างกัน เช่น การเจริญเติบโต การรับสารอาหาร เป็นต้น
     สิ่งที่ Major ward มีความคลึงกัน คือ “ การราวน์ ” หมายถึง เดินมาดูคนไข้ในวอร์ดทุกเตียง โดยมักทำในช่วงเช้ากับเย็น และการเรียนข้างเตียงกับผู้ป่วย ( Bedside ) โดยเน้นทางทักษะทางคลินิกเป็นหลัก คือ ทักษะการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และวินิจฉัยแยกโรค

6. รังสีวิทยา ( Radiology )
     ส่วนใหญ่จะเป็นเลคเชอร์รังสี มีเพิ่มเนื้อหาที่ไม่ได้เรียนก่อนขึ้นวอร์ด คือรังสีรักษา และรังสีนิวเคลียร์ 7. เวชศาสตร์ชุมชน ( Community Medicine )
     การได้ออกชุมชน เพื่อให้เห็นอีกบริบทหนึ่งของสังคมระดับต่างจังหวัด ขึ้นอยู่กับว่าถูกส่งไปไหน การเรียนนี้ เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง คือการสัมผัสความรู้ผ่านการวนในโรงพยาบาล เช่นผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน หน่วยทางกายภาพ หน่วยแพทย์แผนไทย หน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว

8. เวชศาสตร์ป้องกันและสังคม-เวชศาสตร์ครอบครัว ( Preventive and Social Medicine – Family Medicine )
     เลคเชอร์เกี่ยวกับอาชีวเวชศาสตร์ ( การดูแลสุขภาพของคนทำงาน ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริม ป้องกันโรค การรักษาโรค และการฟื้นฟูสุขภาพของคนทำงาน ) พิษวิทยา ( ผลกระทบของสารเคมีต่างๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม ) เวชศาสตร์ป้องกันทั่วไป ( การตรวจคัดกรองโรค การให้วัคซีน โรคติดเชื้อ การฝึกอ่านงานวิจัยโดยใช้ความรู้จากเวชศาสตร์อิงหลักฐาน )

9. จิตเวชศาสตร์ ( Psychiatry )
     เป็นวอร์ดที่ให้เวลา และความสำคัญกับการฟังผู้ป่วยมากที่สุด ตอนซักประวัติหมอจะได้รับรู้เรื่องราว ไม่ใช่แค่โรคนี้มันมีผลมาจากอะไร แต่ฟังเรื่องราวที่ร้อยเรียงของคนๆ หนึ่ง เหมือนม้วนหนังหนึ่งม้วน ทำให้หมอได้รับรู้สาเหตุ การกระทำของผู้ป่วย วิธีคิด อะไรต่างๆ นานา เพื่อให้หมอสามารถเข้าใจผู้ป่วยได้มากยิ่งขึ้น


     สำหรับปี 4 ราฟได้ยินมาว่า จะเป็นช่วงที่ มีคนลาออกมากที่สุด อันเนื่องมาจากเหตุผลมากมาย แต่ที่เจอเยอะ น่าจะเป็นเพราะ หลังจากได้ใกล้ชิดผู้ป่วยแล้ว รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะทุ่มเท ทำเป็นอาชีพได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะ เรียนไม่ไหว เพราะ การเปลี่ยนการเรียนมา ปี 4 นั้น ต่างจากปี 3 มากๆ ละมั้งนะ ใช่ๆ ลืมบอกไปเลย ว่า ปี 4 ก็จะได้อยู่เวรแล้ว เป็นช่วงเวลาประมาณ 16:00 – 23:00น. แต่ไม่รู้ว่า วันไหน แล้วก็กี่วันต่อสัปดาห์นะ 55 แล้วก็มีการเขียนรายงานด้วย ก็ดูรวมๆ ถ้าเป็นราฟละก็ น่าจะซี้แหงแน่นอน
รายงาน 1
รายงาน 2

ปี 5 เรียนจะจบเนื้อหาหมดแล้ว !!!


     สำหรับรูปแบบการเรียนในชั้นปีที่ 5 จะเหมือนกับปี 4 คือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตรงที่วอร์ดที่วนกันนั้น จะเป็นวอร์ดที่ยังไม่เคยเจอในตอนปี 4 แผนกย่อย ๆ เช่น ตา หู คอ จมูก และพวก วิสัญญี (ดมยา) ออโธ (กระดูก) (การวอร์ดในแต่ละสถาบันการศึกษาอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามที่สถาบันได้จัดเอาไว้)

1. สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ( Obstetrics and Gynecology II )

2. ศัลยศาสตร์ ( Surgery II )
     ได้เรียน ศัลยกรรมทรวงอก ( Cardiovascular Thoracic ) และ ศัลยกรรมประสาท ( Neurosurgery ) เพิ่มเติม

3. Medicine II

4. กุมารเวชศาสตร์ ( Pediatrics II )

5. ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ( Orthopedic Surgery )
     เรียนทุกอย่างเกี่ยวกับกระดูก โครงสร้าง การเจริญเติบโตและการหักของกระดูก รวมถึงมีการทำงานและบาดเจ็บฉีกขาดที่เกิดขึ้นได้ ของกล้ามเนื้อเส้นเอ็น และเส้นประสาทที่ต้องซ่อมแซมให้ถูกวิธี

6. วิชาโสด นาสิก ลาริงซ์วิทยา ( Oto-rhino-larygology [ ENT ] )
     วอร์ดหู-คอ-จมูก ทบทวนกายวิภาคของหูคอจมูก โรคเฉพาะทาง ง่ายๆ คือเรียนเกี่ยวกับ หูคอจมูก อย่างละเอียด แล้วก็การรักษาต่างๆ เช่น การทำหัตถด้วยการห้ามเลือดกำเดาด้วยผ้าก๊อซ การตรวจในโพรงจมูกและคอด้วย Headlamp กล้องส่องเพื่อดูช่องหู และแก้วหู

7. จักษุวิทยา ( Ophthalmology )
     กายวิภาคของตา การวัดระยะมองเห็น การวัดลานสายตา (Visual field) ว่าแคบผิดปกติหรือไม่ ภาวะบอดสี การใช้กล้องส่องดูจอ ประสาทตาหาความผิดปกติ

8. นิติเวชศาสตร์ ( Forensic Medicine )
     กฎหมายทางการแพทย์ที่ควรรู้ การชันสูตรพลิกศพ ขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพ ทำให้หมอสามารถบอกได้ว่า ศพถูกเคลื่อนย้ายหรือไม่ ตายจากสาเหตุที่สันนิษฐานจริงหรือไม่

9. เวชศาสตร์ฟื้นฟู ( Physical Medicine and Rehabilitation [ PM & R ] )
     การฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีต่างๆ ได้เรียนการทำงานของก้ามเนื้อมัดต่างๆ ฝึกยืดก้ามเนื้อในแต่ละมัด เพื่อลดอาการบาดเจ็บ จากการเล่นกีฬา

10. วิสัญญีวิทยา ( Anesthesiology )
     เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ดมยา” เป็นขั้นตอนการเตรียมคนไข้ก่อนเข่ารับการผ่าตัด การระงับความรู้สึกของคนไข้ โดยการให้ยาสลบ การระงับความเจ็บปวด โดยการบล็อกหลัง


     เนื้อหาที่ต้องเรียน ก็จบไปหมดแล้ว ขั้นต่อไป ก็คือ Extern เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนจะจบแล้วได้เป็นหมอจริงๆ มาถึงตรงนี้ เนื้อหาที่ต้องเรียนก็จบไปแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ราฟก็ได้พาทุกๆ คนที่อยากรู้ว่า หมอต้องเรียนรู้อะไรบ้างมาเกือบสุดทางกันแล้ว ที่เหลือ จะเป็นข้อมูลว่า... ยังๆ เอาให้จบ Extern ก่อนละกัน 55 แต่ที่แน่ๆ ใกล้เวลาที่เราจะจากกันแล้วสินะ T.T เอ้ยเกือบลืมไป ปี 5 มีอีเว้นสอบ NL step II นี่นะ แล้วปี 5 ก็ยังคงต้องเขียนรายงานอยู่แต่เป็นปีสุดท้ายละนะ

ปี 6 ExternNN



     ราฟจะเล่าเอง ละกันน้าในปีสุดท้ายหน่ะ นี่เป็น loop ชีวิตของ extern เพื่อจะเก็บประสบการณ์อันมากเหลือ มีการราวน์วอร์ด ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 4 แต่เพราะเป็นรุนพี่ที่สุด เลยต้องช่วยแนะนำรุ่นน้อง ปี 4 และ 5 ในกลุ่มวนใน ส่วนกลุ่มวนนอกจะมี รุ่นพี่ intern ( พี่ที่พึ่งจบ แล้วทำงานปีแรก ) ให้คำปรึกษาแก่เรา ปีนี้เราจะได้ทำหัตถการที่ยากและท้าทายมากขึ้น เช่น

     วอร์ดอายุรกรรมและวอร์ดเด็ก จะได้ฝึกเจาะน้ำไขกระดูกสันหลัง ใส่ท่อช่วยหายใจ เจาะน้ำในข้อไปตรวจ

     วอร์ดสูตินรีเวช ได้ฝึกทำคลอด ผ่าตัดทำคลอด ใช้เครื่องอัลตราซาวน์ เพื่อดูทารกในครรภ์

     วอร์ดศัลยกรรม เข้าช่วยในการผ่าตัดโรคต่างๆ ยังได้ผ่าเองบ้างในบางอย่าง เช่น การกรีดระบายฝีหนอง

ปีนี้เราจะได้นำเสนอใน Grand Round (การนำเคสคนไข้บนวอร์ดที่มีความน่าสนใจ หรือยากซับซ้อนเป็นพิเศษมานำเสนอ) จะจัด 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ช่วงวนใน ในตอนปี 4 และ 5 เราจะได้เป็นแค่ผู้ฟัง

     ในส่วนการเข้าเวร ราฟบอกเลยว่าชิวๆ แค่ 1 วันเอง เข้าประมาณเดือนละ 8-10 เวร มนุษย์ไม่นอนก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะ 555 ไม่จริง แต่ก็ได้ฝึกมาตั้งแต่ปี 4 แล้ว ชิวๆ จริงๆๆๆๆ เอาใจช่วยปี 6 ทุกคนนะครับ ที่เหลือก็เป็นการเข้า วอร์ดแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ประจำวอร์ดนั้นๆ แล้วก็สอบ NL Step III


     งั้นเรามาจบกันดีกว่ากับ 6 ปีในการเรียนหมอ ราฟก็ใกล้จะหมดหน้าที่ไป เต็มที ข้อมูลเพียงเท่านี้ ก็น่าจะช่วยให้ทุกคนที่ตัดสินใจว่า จะเรียนหมอดีไหมได้เริ่มตัดสินใจกันสักที แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ factor หนึ่งในการตัดสินใจเท่านั้น ด้านล่างจะ เป็นข้อมูลการสัมภาษณ์จากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ผมรู้จัก ทั้งคนที่อยากเป็นหมอ สอบเข้าหมอไปแล้ว หรือคนที่ไม่ได้อยากเป็นหมอ เพื่อรู้มุมมองที่พวกเขาเหล่านั้น มีต่ออาชีพหมอ ผมบอกใบ้ไว้ตรงนี้ดีกว่า ว่า ราฟตอนนี้นั้น ตัดสินใจไปทางอาชีพอื่นที่ไม่ใช่หมอแล้วหล่ะ 55 เพราะว่า ยิ่งราฟหาข้อมูล ยิ่งรู้เท่าไรเกี่ยวกับหมอ ก็ยิ่งรู้ว่า ตัวเองยังไม่มีแรงจูงใจที่อยากเป็นหมอเลย หมอนั้นเหนื่อยมากสำหรับราฟหน่ะนะ เพราะฉะนั้นนะทุกคน ที่อยากเป็นหมอ ขอให้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ว่าเป็นหมอเพราะอยากเป็นจริงๆ ส่วนคนที่อยากเป็นแต่กลัวตัวเองไม่ไหว ไม่ต้องกลัวหรอก มนุษย์อย่างพวกเราหน่ะ ตราบที่ยังไม่ตายก็จงดิ้นรนทำสิ่งที่ตัวเองรักไปจนถึงปลายทางเถอะ