ปี 4 ได้ขึ้นวอร์ดแล้วว
ลักษณะการ เรียนระดับชั้นคลินิก
จะแบ่ง เป็น 2 แบบ คือ การเรียนผ่านอาจารย์ เช่น
เรียนกับผู้ป่วยข้างเตียง การเรียนผ่านเลคเชอร์ ทำงานกลุ่ม
ฝึกนำเสอน เป็นต้น และการเรียนผ่านการปฏิบัติงานจริง เช่น
การรับผู้ป่วยมาไว้ในการดูแลของตน
ภาควิชา / วอร์ด ( Ward )
Introduction to Clinical Medicine
( ICM ) หรือ การเรียนก่อนขึ้นวอร์ด คือ Basic Clinical Skills ,
Clinical Problem Solving
Major Ward คือ Obstetrics and
Gynecology , Surgery I , Medicine I , Pediatrics I (
สู-ศัลย์-เมด-เด็ก )
Minor Ward คือ Psychiatry ,
Radiology , Preventive and Social Medicine-Family Medicine ,
Community Medicine
วิชาที่เรียน ดังนี้
1. ทักษะพื้นฐานทางคลินิก และการแก้ปัญหาทางคลินิก ( Basic
Clinical Skills and Clinical Problem Solving )
เป็นการทบทวนเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ
ที่เคยผ่านมาแล้ว แต่จะสอนเนื้อหาส่วนที่ไปปฏิบัติจริง
เพิ่มมากขึ้น เช่น ทักษะการซักประวัติ การตรวจร่างกาย
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยวินิจฉัย และวิธีการรักษา
2. สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ( Obstetrics and Gynecology I )
เนื้อหาการสอนจะแล้วแต่มหาลัย
แต่จากตัวอย่างที่ผมศึกษามานั้น ปี 4 จะเรียนนรีเวชวิทยา
คือเรียนผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งครรภ์ และปี 5 เรียนสูติศาสตร์
คือเรียนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
3. ศัลยศาสตร์ ( Surgery I )
การเรียนแล้วแต่มหาลัย จัด
แต่เนื้อหาจะประกอบด้วยศัลยศาสตร์หลอดเลือด , ศีรษะ คอ และทรวงอก ,
ทางเดินปัสสาวะ , ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก , ตับ ตับอ่อน
และทางเดินน้ำดี , ผ่าตัดและส่องกล้อง และอีกอย่างหนึ่งคือ
วิชานี้ได้เข้าห้องผ่าตัด ( OR – Operating Room ) แน่นอน
4. Medicine I
ส่วนใหญ่วอร์ดนี้เป็นการปฏิบัติงานเป็นหลัก
คือ การรับเคสผู้ป่วยไว้ดูแล ฝึกเขียนใบสั่งยา
ได้ฝึกทักษะทางหัตถการ เช่น เจาะเลือดตรวจน้ำตาลบริเวณปลายนิ้ว
เจาะเก็บเลือดจากเส้นเลือดแดง การให้เลือด
5. กุมารเวชศาสตร์ ( Pediatrics I )
คล้ายกับอายุรศาสตร์
ต่างกันแค่ช่วงอายุทำให้ต้อง โฟกัสประเด็นที่ต่างกัน เช่น
การเจริญเติบโต การรับสารอาหาร เป็นต้น
สิ่งที่ Major ward มีความคลึงกัน
คือ “ การราวน์ ” หมายถึง เดินมาดูคนไข้ในวอร์ดทุกเตียง
โดยมักทำในช่วงเช้ากับเย็น และการเรียนข้างเตียงกับผู้ป่วย (
Bedside ) โดยเน้นทางทักษะทางคลินิกเป็นหลัก คือ
ทักษะการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และวินิจฉัยแยกโรค
6. รังสีวิทยา ( Radiology )
ส่วนใหญ่จะเป็นเลคเชอร์รังสี
มีเพิ่มเนื้อหาที่ไม่ได้เรียนก่อนขึ้นวอร์ด คือรังสีรักษา
และรังสีนิวเคลียร์ 7. เวชศาสตร์ชุมชน ( Community Medicine )
การได้ออกชุมชน
เพื่อให้เห็นอีกบริบทหนึ่งของสังคมระดับต่างจังหวัด
ขึ้นอยู่กับว่าถูกส่งไปไหน การเรียนนี้
เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง
คือการสัมผัสความรู้ผ่านการวนในโรงพยาบาล เช่นผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน
หน่วยทางกายภาพ หน่วยแพทย์แผนไทย หน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว
8. เวชศาสตร์ป้องกันและสังคม-เวชศาสตร์ครอบครัว ( Preventive and
Social Medicine – Family Medicine )
เลคเชอร์เกี่ยวกับอาชีวเวชศาสตร์ (
การดูแลสุขภาพของคนทำงาน ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริม ป้องกันโรค
การรักษาโรค และการฟื้นฟูสุขภาพของคนทำงาน ) พิษวิทยา (
ผลกระทบของสารเคมีต่างๆ
ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม )
เวชศาสตร์ป้องกันทั่วไป ( การตรวจคัดกรองโรค การให้วัคซีน
โรคติดเชื้อ
การฝึกอ่านงานวิจัยโดยใช้ความรู้จากเวชศาสตร์อิงหลักฐาน )
9. จิตเวชศาสตร์ ( Psychiatry )
เป็นวอร์ดที่ให้เวลา
และความสำคัญกับการฟังผู้ป่วยมากที่สุด
ตอนซักประวัติหมอจะได้รับรู้เรื่องราว
ไม่ใช่แค่โรคนี้มันมีผลมาจากอะไร
แต่ฟังเรื่องราวที่ร้อยเรียงของคนๆ หนึ่ง เหมือนม้วนหนังหนึ่งม้วน
ทำให้หมอได้รับรู้สาเหตุ การกระทำของผู้ป่วย วิธีคิด อะไรต่างๆ
นานา เพื่อให้หมอสามารถเข้าใจผู้ป่วยได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับปี 4 ราฟได้ยินมาว่า
จะเป็นช่วงที่ มีคนลาออกมากที่สุด อันเนื่องมาจากเหตุผลมากมาย
แต่ที่เจอเยอะ น่าจะเป็นเพราะ หลังจากได้ใกล้ชิดผู้ป่วยแล้ว
รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะทุ่มเท ทำเป็นอาชีพได้
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะ เรียนไม่ไหว เพราะ การเปลี่ยนการเรียนมา
ปี 4 นั้น ต่างจากปี 3 มากๆ ละมั้งนะ ใช่ๆ ลืมบอกไปเลย ว่า ปี 4
ก็จะได้อยู่เวรแล้ว เป็นช่วงเวลาประมาณ 16:00 – 23:00น.
แต่ไม่รู้ว่า วันไหน แล้วก็กี่วันต่อสัปดาห์นะ 55
แล้วก็มีการเขียนรายงานด้วย ก็ดูรวมๆ ถ้าเป็นราฟละก็
น่าจะซี้แหงแน่นอน
รายงาน 1
รายงาน 2